ต้นยางนา Yang, Gurjan, Garjan
ไม้ยางนา เป็นเสมือนพญาไม้แห่งเอเชียอาคเนย์ เพราะมีขนาดสูงใหญ่ ประมาณ 50 เมตร อายุยืนนานถึง 400 ปี ชอบขึ้นเป็นกลุ่มตามที่ราบ
ชายลำธารในป่าดงดิบหรือป่าไม่ผลัดใบ (Evergreen forest) และป่าผลัดใบ (Deciduous forest) ที่สูง
จากระดับทะเลปานกลางไม่เกิน 600เมตร มีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชียจาก
ตอนใต้ของประเทศอินเดียศรีลังกา บังคลาเทศ พม่า ไทย มาเลเซียลาวกัมพูชา เวียดนาม และฟิลิปปินส์
ยางนา (Dipterocarpus alatus Roxb. ex G. Don) เป็นพืชในวงศ์ไม้ยาง (Dipterocarpaceae)
จัดเป็นพืชให้เนื้อไม้ที่มีความสำคัญมากรองจากไม้สัก
(เอานึกเล่นๆท่านจะปลูกพญาไม้เอเซียในสวนป่าของท่านเชียวนะ)
จากงานวิจัยมากมาย WEGROFOREST จึงนำยางนามาปลูกพร้อมกับต้นสัก เพื่อประโยชน์สูงสุดสำหรับดินและการเจริญเติบโตเต็มที่ของป่าผสมผสาน
ต้นยางนา คือ ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ที่มีน้ำมันยางเป็นของเหลวข้น
ซึ่งการนำน้ำยางออกจากต้น สามารถใช้จากต้นที่อายุ 15 ขึ้นไปเฉลี่ยได้วันละ 1 ลิตร
หากคิดง่าย ปีละ 300 ลิตรตัวกลม ต่อ 1 ต้น พลังงานทดแทนน้ำมัน สามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการผลิตอื่นใด ยางนามีอายุถึง 200 ปี หากเราปลูกยางนาในช่วงชีวิตเราแล้วนำน้ำมันมาใช้ 40 ปี 1 ต้นจะให้น้ำมันถึง 12,000 ลิตรเลยทีเดียว
ส่วนสรรพคุณของต้นยางนาอื่นๆ เล่า 3 วัน 3 คืนก็ไม่จบ มีงานวิจัยเกี่ยวกับยางนามากมาย
ราคาต้นยางนา
ปัจจุบันนี้ราคาซื้อขายต้นยางนาขนาดใหญ่ ถือว่าทำรายได้ไม่แพ้ต้นสักทอง เพราะราคาซื้อขายต้น
ยางนาอายุ 15-20 ปี ราคาต้นละ 15,000-25,000 บาท ต่อต้น (ไก่,2555) ตัวเลขข้อมูลจากงานวิจัย มหาลัยขอนแก่น
ซึ่งไม้ยางนาในปัจจุบันขาดแคลนและต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากเนื่องจากไม้ยางนา เป็นไม้ที่มีความต้องการทางเศรษฐกิจสูง
เพราะว่าสามารถนำมาแปรรูปได้หลากหลาย เช่น โต๊ะ เก้าอี้ และไม้สร้างอาคารบ้านเรือน ซึ่งสามารถ
สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น ได้อย่างมหาสาล อีกทั้งยังสามารถนำน้ำมันยางที่ได้จากต้นยางมาทำ
เชื้อเพลิง น้ำมันที่ได้จากต้นยางนา อายุ 15 ปี สามารถให้น้ำมันได้วันละ 1 ลิตร
ขยายพันธุ์ ยางนา อย่างไรนั้น
ไม้ยางนา หรือไม้วงศ์ยางส่วนใหญ่จะขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ปกติเมล็ดยางนาจะแก่และเริ่มร่วง
จากต้นประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ดังนั้นการเพาะต้นกล้ายางนาจะเพาะจากเมล็ดที่เก็บมาจาก
พื้นดินใต้ต้นใหญ่ (ต้นแม่) เฉพาะเมล็ดที่สมบูรณ์เท่านั้นที่จะสามารถงอกและเติบโตเป็นกล้าไม้ที่สมบูรณ์
ได้ เมล็ดที่เก็บแล้วไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานเพราะจะเกิดการผ่อและลีบจากการสูญเสียความชื้นใน
เมล็ด หรือการเจาะกินเนื้อเยื่อภายในของพวกด้วงแมลงต่างๆ จนไม่สามารถงอกได้ ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับ
การเพาะกล้าไม้ที่ไม่สามารถเก็บเมล็ดไว้ได้ตลอดทั้งปี บางปีฤดูกาลเปลี่ยนแปลงมาก ยางนาไม่ออกดอก
ไม่มีเมล็ด ไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ที่จะใช้ในการเพาะได้
ยางนา 1 ต้น สามารถให้เมล็ดได้ถึง 5 หมื่นเมล็ดเลยทีเดียว คิดเล่นๆเอามาเพาะขายต้นละ 10 บาท
ช่อดอกและดอกของยางนา (ภาพโดยพงษ์ศักดิ์พลเสนา และอนิษฐาน ศรีนวล)
ดอกยางนา
ยางนามีช่วงฤดูกาลออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม มีดอกออกเป็นช่อตามซอก
ใบและปลายกิ่ง เป็นช่อดอกแบบช่อกระจะ (raceme) ช่อละ 4-5 ดอก ก้านช่อดอกมีขน ดอกเป็นดอก
สมบูรณ์เพศ สมมาตรตามรัศมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยงมี
5 กลีบ โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแผ่เป็นปีก เป็นปีกสั้น 3 ปีก และปีกยาว 2 ปีก เรียงจรดกัน
(valvate) ผิวด้านนอกมีขนสีน้ำตาลอ่อน กลีบเลี้ยงติดทนและขยายขนาดขึ้นเมื่อติดผล
ผลและเมล็ด
ยางนามีการผสมเกสรทั้งแบบการถ่ายเรณูในต้นเดียวกัน (self-pollination) และการถ่ายเรณู
ข้ามต้น (cross-pollination) ในแต่ละช่อดอกจะติดผลเพียง 1-3 ผล ติดผลในช่วงประมาณเดือน
พฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม ผลของยางนาจัดเป็นผลแบบผลคล้ายผลปีกเดียว (samaroid) ซึ่งเป็นผล
แห้งไม่แตกแบบเปลือกแข็งมีเมล็ดเดียว (nut) รูปกลม ยาว 2-3 เซนติเมตร มีครีบตามยาว 5 ครีบ มีปีก
ซึ่งพัฒนามาจากกลีบเลี้ยงที่ขยายขนาดเป็นปีกยาว 2 ปีกยาวประมาณ 15 เซนติเมตรและปีกสั้น 3 ปีก
ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร สีแดงปนชมพูผิวมีขนสั้น
เมล็ดที่สมบูรณ์ดูจาก ปีกและผลต้องแห้ง สีของปีกและผลต้องเป็นสีน้ำตาล ถ้าผลยังสดอยู่และเป็นสีแดง
แสดงว่าผลยังอ่อนอยู่แล้วร่วง ไม่มีหนอนเจาะดูจากเมล็คถ้ามีขี้หนอนแล้วมีรูให้สันนิษฐานว่าโดนหนอน
เจ าะ ทดสอบความมีชีวิตโดยการ สุ่มเก็บเมล็ดสั ก 10-20เมล็ด โดยนำผลมาผ่าดูว่าภายในเมล็คมีสีอะไร ถ้า
ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำตาลเข้มหรือดำแสดงว่าเมล็ดเสียหายมาก ถือว่ามีเปอร์เซ็นตัความงอกต่ำ ถ้าผ่าออกมาแล้ว
ส่วนใหญ่มีสีขาวแสดงว่าเมล็ดมีความมีชีวิตสูงเมล็ดที่ใหญ่ต้นกถ้าที่ได้ก็จะใหญ่และแข็งแรงถ้าผสม
เชื้อไมคอร์ไรซา ในดินที่นำมาเพาะกล้าไม้จะช่วยให้กล้าไม้เจริญเติบโตดียิ่งขึ้นซึ่งเป็นเชื้อราที่พบในรากของยางนา
เป็นชนิด เอคโตไมคอร์ไรซา เชื้อชนิดนี้มีผลต่อการเจริญเดิบโตของยางนาโดยเชื้อราจะช่วยในการดูดซับ
ความชื้นและแร่ธาตุในดินทำให้กล้ายางนาทนทานต่อความแห้งแล้งอีกทั้งยังป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นที่ราก
อีกด้วย
การเจาะเอาน้ำน้ำมันจากต้นยางนา
จากลักษณะโครงสร้างของเนื้อไม้ยางนาและท่อน้ำมัน จึงได้มีการศึกษาเพื่อหาวิธีการเจาะเอา
น้ำมันยางนาแบบใหม่ โดยตั้งสมมุติฐานว่าถ้าสามารถเจาะรูตัดท่อน้ำมันที่อยู่ในเนื้อไม้ที่อยู่ถัดจากเนื้อเยื่อ
เจริญเข้าไปได้ น้ำมันก็จะไหลออกมาตามรู สมมุติฐานนี้ได้พิสูจน์โดยใช้สว่านไฟฟ้าและดอกสว่านขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 25 มิลลิเมตร เจาะเข้าในลำต้นลึกประมาณ 25 เชนติเมตร (ภาพที่ 2.9ก. และ 2.9ข.
ในทิศทางเฉียงขึ้นเพื่อให้น้ำยางซึ่งมีความหนืดไหลออกมาด้านนอกได้สะดวก (ภาพที่ 2.9ค.) ซึ่งปากรู
ทางออกจะมีภาชนะสำหรับเก็บแขวนอยู่ (ภาพที่ 2.9ง.) วิธีใหม่นี้สามารถเก็บน้ำมันยางนาได้โดยเฉลี่ย
ประมาณ 400 มิลลิลิตรต่อวันต่อรู ถ้าทิ้งไว้ประมาณ 1 วันน้ำมันยางจะเริ่มหยุดไหล เนื่องจากยางเหนียว
ที่อยู่ในน้ำมันเกิดการแข็งตัวปิดแผลที่เจาะ ต้องใช้แท่งเหล็กที่มีปลายงอเหมือนช้อน ขูดเอายางเหนียวที่ติด
ภายในรูออก น้ำมันยางนาก็จะเริ่มไหลได้อีก (สมพร เกษแก้ว และคณะ, 25542 วิธีนี้ไม่ทำให้เกิดแผลใหญ่
กับต้นไม้ ถ้าปล่อยแผลทิ้งไว้ประมาณ 1 ปี ต้นยางนาก็จะสามารถสร้างเนื้อเยื่อใหม่มาปิดได้เกือบหมด
รูปภาพ credit และอ้างอิงจาก
https://drive.google.com/file/d/0B1AMifuPWDycR2FzNmQ5UnVUb1E/view?resourcekey=0-NmgreT2v1W_e---i2TZjXA
ยางนาต้นไม้ของพระราชา
ยางนามีการปลูกขยายพันธุ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ได้แก่ต้นยางนาบริเวณสองฟากถนนสาย
เชียงใหม่-สารภี-ลำาพูน ซึ่งปลูกตั้งแต่ปีพ.ศ.2442และปลูกเพิ่มในปีพ.ศ.2465ในสมัยรัชกาลที่6 ปัจจุบัน
มีจำนวนมากกว่า 1,000 ต้น
ต้นยางนาบริเวณถนนสายเชียงใหม่-สารภี-ลำพูน
ยางนา ไม้มีค่าที่ในหลวงทรงห่วงใยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ได้มีพระราชปรารกเมื่อปี พ.ศ.2504 ด้วยทรงห่วงใยในสถานการณ์ของไม้ยางนาเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้วว่า
"ไม้ยางนาในประเทศไทยได้ถูกตัดฟัน ไปใช้สอยและทำเป็นสินค้ากันเป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี เป็นที่
น่าวิตกว่าหากมิได้ทำการบำรุงส่งเสริม และดำเนินการปถูกไม้ยางนาขึ้นแล้ว ปริมาณ ไม้ยางนาก็จะลดน้อยลง
ไปทุกที จึงควรที่จะ ได้มีการดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับการปลูกไม้ยางนา เพื่อจะได้นำความรู้ไปใช้ในการ
ปฏิบัติ"
ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ในการเสด็จพระราชดำเนินทางรถยนต์ไปแปรพระราชฐาน ณ พระที่
นั่งไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประกวบคีรีขันธ์ผ่านป่ายางนาสูงใหญ่สองข้างถนนเพชรเกษม ช่วงหลัก
กิโลเมตรที่ 176-179 ท้องที่อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหน้าที่สำนัก
พระราชวังไปเก็บเมล็ดยางนาเมื่อเดือนเมบายน 2504 ให้เจ้าหน้าที่นำไปเพาะเลี้ยงกล้าไว้ใต้ร่มต้นแคบ้านใน
บริเวณพระตำหนักจิตรถคารโหฐานส่วนหนึ่งและ ได้ทรงเพราะเมล็ดไม้ยางนาโดยพระองค์เองไว้บนดาดฟ้า
พระตำหนักเปี่ยมสุข ในพระราชวังไกลกังวล หัวหิน อีกส่วนหนึ่ง
จากนั้นได้ทรงปลูกกล้าไม้ยางนาอายุ 4 เดือนในบริเวณสวนจิตลดาร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร คณาจารย์ และนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2504 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าถูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ จำนวน
1,096 ต้น โดชมีระยะปลูก 2.50 x 2.50 เมตร เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ 1 งาน ซึ่งถือเป็นสวนป่ายางนาที่มีอายุ
เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมกับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะวนศาสตร์และโครงการส่วน
พระองค์ส่วนจิตรลดา ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการปลูกไม้ยางนาในบริเวณสวนจิตรลดา โดยมีศาสตราจารย์
เทียม คมกฤส คณบดีคณะวนศาสตร์ในขณะนั้นเป็นหัวหน้าโครงการ(สมชัย,2550)
ลองเข้าไปอ่านประวัติ ดาบวิชัย (เป็นคนบ้าปลูกต้นไม้) เค้าลองผิด ลองถูก เรื่องการปลูกต้นไม้มาก
ว่า 20 ปีต้นไม้ที่ดาบพูดถึงเป็นประจำ มี 2 ชนิด คือ ยางนา และ ต้นตาลด้วยเหตุเพราะปลูกง่าย ทนทาน และ
มีประโยชน์มากมาย
ที่มา
http://www.qsbg.org/Database/Article/Art_Files/article24-4.pdf
http://wwww.kasctporpeang.com/forums/index.php?topic-48957.15,wap2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น